การสอนศิลปะแบบบูรณาการ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณัฐนนต์  สิปปภากุล
            ระบบการศึกษาของไทยตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ปรากฏว่า ระยะแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการวางพื้นฐานสังคมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม สรรพวิชา และแบบแผนการดำรงชีวิต ที่สืบเนื่องมาจากสมัยสุโขทัย อยุธยา และธนบุรีแทบทั้งสิ้น ในส่วนของการศึกษาศิลปะจึงเริ่มที่วังและวัด ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางขดองการเรียนรู้ที่สำคัญ  ระบบศิลปศึกษาจึงมักขึ้นอยู่กับศาสนาที่มีความมุ่งหมายในการรักษา ส่งเสริม และค้ำจุนศาสนาไว้ โดยมุ่งเน้นที่ครูเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอด สอนให้มีการเลียนแบบตามตัวอย่าง การเน้นความจำ การควบคุม และลักษณะพิเศษของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ ต่อมาการเรียนการสอนทางด้านศิลปะจึงได้มีการพัฒนาให้มีรูปแบบเป็นสากลมากขึ้น แม้จะมีปัญหาและล้าหลังอยู่บ้าง นั่นก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่หลายฝ่ายต้องร่วมมือกันพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไป
            การศึกษาในระบบโรงเรียนของไทยได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2414  เมื่อโรงเรียนหลวงได้ถือกำเนิดขึ้นในพระบรมมหาราชวังเป็นครั้งแรก และถือเป็นการเริ่มต้นของการปรับตัวตามอิทธิพลตะวันตก เมื่อโรงเรียนหลวงตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก (2414) โดยมุ่งเน้นการรู้หนังสือและอบรมสั่งสอนขนบธรรมเนียมข้าราชการ เพื่อเตรียมคนไปรับราชการ และต่อมาการรู้หนังสือก็ขยายตัวไปสู่วิชาเลข ประวัติศาสตร์ บัญชี ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการเรียนการสอนศิลปะในระบบโรงเรียนในระยะเริ่มแรกนั้น จนถึงหลักสูตรการศึกษาฉบับแรกของไทยในปี พ.ศ. 2438 พบว่าศิลปะซึ่งกินความเฉพาะ “การวาดเขียน” ได้เข้ามามีบทบาทในหลักสูตรระบบโรงเรียน ซึ่งก่อนหน้านั้นศิลปะได้มีบทบาทอยู่ในวัด ในกลุ่มช่างฝีมือ หรือในหมู่ช่างฝีมือประจำราชสำนัก และการศึกษาศิลปะในเวลานั้นก็เป็นในเชิงช่างฝีมือ (วิรุณ ตั้งเจริญ. 2548: 15-16) ซึ่งการสอนศิลปะในสมัยแรกนั้น เป็นการสอนตามหลักสูตรที่มุ่งเน้นศิลปะแบบเหมือนจริง ตามอิทธิพลสายประเพณีนิยมของชาวตะวันตกที่ไหลบ่าเข้ามาพร้อมกันทุกด้านในขณะนั้น
          ต่อมาหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ระดับมูลศึกษาจนถึงมัธยมสูงในปี พ.ศ. 2452 และ 2454 โดยเฉพาะศิลปศึกษาได้มีความเชื่อแยกออกเป็น 2 ด้าน คือ 1) การวาดเขียนซึ่งมีเป้าหมายและกระบวนการเป็นไปในเชิงศิลปะ (Art) ที่มุ่งเน้นการเขียนภาพจากของจริง และ 2) การฝีมือที่มีเป้าหมายและกระบวนการเป็นไปในเชิงงานช่าง (Craft) ที่มุ่งเน้นในเรื่องการออกแบบ ซึ่งเป็นวิธีการตามอย่างชาติตะวันตก  อย่างไรก็ตามแม้จะมีการพัฒนาหลักสูตรอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา แต่การถ่ายทอดวิธีการสอนดังกล่าวก็ยังสืบทอดเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2502 แม้ในบางช่วงเช่น หลักสูตรในปี พ.ศ. 2480 จะพบว่า แนวคิด ทฤษฎี และกิจกรรมต่างๆ ได้รับอิทธิพลจากสถาบันศิลปะอย่างเด่นชัด เช่น ศิลปะบาศกนิยม (Cubism) ที่เน้นให้เลือกเฉพาะสื่อดลใจที่เป็นเส้นหรือรูปทรงเรขา คณิต ส่วนภาพประดิษฐ์มุ่งเน้นการออกแบบตกแต่งโดยใช้รูปทรงธรรมชาติเป็นหลัก แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงการเน้นหนักไปในทางช่างฝีมือมากขึ้นเท่านั้น
           หลักสูตรการศึกษาปี พ.ศ. 2503 พบว่า ศิลปะได้รับการพัฒนาไปเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่เป้าหมายที่เปิดกว้าง โดยคำนึงถึงคุณค่าทางศิลปะ คุณค่าในเชิงผลสะท้อนและคุณค่าทางจิตวิทยา นอกจากนั้น กิจกรรมก็เปิดกว้างขึ้นเพื่อตอบสนองเป้าหมายข้างต้น ด้วยกิจกรรมที่เปิดเสรีภาพและคำนึงถึงวุฒิภาวะของเด็กแต่ละวัย (วิรุณ ตั้งเจริญ. 2548: 29) การสอนศิลปะในช่วงนี้คือ การตัดฉีกพับกระดาษ การสะสม การปั้น การแกะสลัก การพิมพ์ภาพ การประดิษฐ์ การประยุกต์ศิลปะไปใช้ประโยชน์ เป็นต้น ต่อมาหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญคือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้ส่งผลให้เกิดการระดมความคิดของนักวิชาการและปัญญาชนอย่างกว้างขวาง และได้นำไปสู่การประกาศแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 ขึ้น
            มาถึงหลักสูตรศิลปศึกษา ฉบับปี พ.ศ. 2521 และ 2524 ได้พยายามจัดการศึกษาออกเป็นกลุ่มวิชาต่างๆ และศิลปศึกษาก็ได้รับการจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่มุ่งพัฒนาทางบุคลิกภาพคือ กลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัยในระดับประถมศึกษา และกลุ่มพัฒนาบุคลิกภาพในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กิจกรรมศิลปศึกษา เป็นไปในลักษณะผลสะท้อนที่เป็นนามธรรมมากกว่าตัวผลงานศิลปะที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นคุณค่าในการฝึกปฏิบัติกิจกรรมในระดับวัยเด็กไว้ 3 ด้าน คือ (1) คุณค่าทางจิตใจ ได้แก่รสนิยมที่พึงต่อศิลปะ การชื่นชมต่อธรรมชาติแวดล้อม และการเห็นคุณค่าความงาม (2) คุณค่าทางกายภาพได้แก่ การแสดงออกด้วยการริเริ่มสร้างสรรค์ การแสดงออกตามความถนัดและความสามารถเฉพาะบุคคล (3) คุณค่าทางสังคมได้แก่ การอยู่ร่วมกับผู้อื่น และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (วิรุณ ตั้งเจริญ. 2548 : 30-31)
            จะเห็นได้ว่า แม้ระบบการศึกษาของไทยรวมทั้งศิลปศึกษาในอดีตจะได้รับอิทธิพลด้านองค์ความรู้จากตะวันตกมาโดยตลอด แต่ที่ผ่านมาการศึกษาของไทยโดยรวมก็ไม่สามารถสร้างศักยภาพในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะไม่สามารถสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ได้ นั่นเป็นเพราะระบบการเรียนการสอนของไทยที่ผ่านมา เน้นที่ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher center) และเน้นการสอนในระบบสายพานหรือการแยกส่วน (Assembly line) เป็นสำคัญ  การศึกษาทางด้านศิลปะจึงประสบปัญหา ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ 
             1. เราแยกกระบวนการคิด กระบวนการสร้างสรรค์ และกระบวนการบริหารจัดการ ระหว่างศิลปะในสาขาต่างๆ ขาดความสัมพันธ์ในบริบทศิลปะ (Art context) และพลังของศิลปะโดยองค์รวม ไม่ว่าจะเป็นทัศนศิลป์ ดนตรี ศิลปะการแสดง
             2. เราแยกศิลปะออกเป็นอิสระจากบริบทสังคม (Social context) ทำให้กระบวนการคิด กระบวนการสร้างสรรค์ และกระบวนการบริหารจัดการ ขาดคุณภาพและประสิทธิภาพในเชิงบูรณาการ
             3. เราแยกศิลปะของศิลปินออกจากศิลปศึกษา และในกระบวนการเรียนการสอนของศิลปศึกษาในระบบโรงเรียนก็แยกสาขาต่างๆ ออกจากกันอย่างโดดเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์ ทำให้ระบบการศึกษาทางด้านศิลปะขาดการเชื่อมโยงในเชิงสหวิทยาการ
             4. การศึกษาศิลปะมีอยู่เพียงในระบบโรงเรียนเป็นด้านหลัก ขาดพลังการศึกษาศิลปะในสังคมและในครอบครัว  (งานบัณฑิตศึกษา หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2545:15) 
             ต่อมาจึงได้มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับผู้เรียนและเน้นการสอนแบบบูรณาการมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากข้อบัญญัติดังนี้
             หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
             มาตรา 23 การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญ ทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการ ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา (วิรุณ ตั้งเจริญ. 2548: 49)
             จากแนวทางการจัดการศึกษาดังกล่าว นับเป็นแรงผลักดันให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ไปสู่การพัฒนาแบบองค์รวม (Interdisciplinary)  ซึ่งเป็นการบูรณาการ (Integration) มิติต่างๆของสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน และช่วยผลักดันให้ศิลปศึกษาก้าวไปสู่กระแสหลังสมัยใหม่หรือกระแสโลกาภิวัตน์  ซึ่งอาจเรียกว่า พหุศิลปศึกษา (Arts education)  ดังที่ วิรัตน์ ปิ่นแก้ว อธิบายว่า ศิลปศึกษาในยุคหลังสมัยใหม่ ต้องอาศัยแนวคิดการมองอย่างองค์รวม ในบริบทของศิลปะเพื่อเข้าใจสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึงต้องเชื่อมโยงมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องกับศิลปศึกษาด้วย การสอนศิลปศึกษาในสถาบันการศึกษาต้องเข้าใจปรากฏการณ์ของสังคมและต้องเข้าใจความหมายของมนุษย์ ความหมายของศิลปะในบริบทของยุคหลังสมัยใหม่เพื่อเชื่อมต่อศิลปะ มนุษย์ สังคม ธรรมชาติเข้าด้วยกัน บนพื้นฐานของความหลากหลายของความยั่งยืน (ธวัชชานนท์ สิปปภากุล. 2550: 260)
              พหุศิลป์และพหุศิลปศึกษา เป็นรูปแบบของศิลปะตามแนวคิดของกลุ่มหลังสมัยใหม่ เพราะศิลปะตามความคิดของกลุ่มหลังสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับการบูรณาการความคิดในการสร้างงานศิลปะ ด้วยสื่อที่หลากหลาย ปราศจากกำแพงกั้นระหว่างประเภทของศิลปะตามความคิดแบบเก่า หรือข้อจำกัดเรื่องการใช้สื่อในการแสดงออกถึงการรับรู้ และจินตภาพในรูปแบบงานที่อาจสรุปได้ว่า เป็นชนิดหรือประเภทใด กลุ่มหลังสมัยใหม่มีแนวโน้มที่ให้อิสระต่อการใช้สื่อ ให้เสรีภาพต่อการจินตนาการ การใช้เทคนิคที่หลากหลาย ตลอดจนให้เสรีภาพต่อการเลือกใช้แรงดลใจจากแหล่งที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Popular culture (งานบัณฑิตศึกษา หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2545:68-69)
              จะเห็นได้ว่า ศิลปศึกษาในยุคหลังสมัยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและจินตภาพ เป็นการบูรณาการความรู้เชื่อมโยงกับสหวิทยาการ (Interdisciplinary approach)  ในลักษณะมิติซ้อนหลากหลายความคิด มีพลวัตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และเป็นความรู้ที่ผสานกับจินตนาการ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวถึงจินตนาการว่า “Imagination is more important than knowledge” นั่นก็หมายความว่าจินตนาการมีความสำคัญมาก่อนความรู้ เพราะความรู้นั้นมีข้อจำกัด ขณะที่จินตนาการทำให้เกิดการวิวัฒนาการก้าวไปข้างหน้า จินตนาการสามารถทำให้มนุษย์หาหนทางไปยังโลกแห่งอนาคต และสามารถเดินทางไปยังดวงจันทร์และดาวอังคารได้ในที่สุด นั่นก็เพราะว่ามนุษย์ได้จินตนาการว่า ในห้วงอวกาศหรือในจักรวาลอันกว้างใหญ่นั้นมีอะไรบ้าง ต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงพยายามแสวงหาความรู้ คิดค้น และหาหนทางไปตามจินตนาการก่อนหน้านั้น 
              หากกล่าวถึง การแสวงหาความรู้ที่เกิดจากความคิดหรือจินตนาการนั้น ปราชญ์โบราณอย่าง โสคราตีส เชื่อว่า ความรู้มีอยู่แล้วในตัวตนของทุกคน เพียงแต่ปราชญ์หรือครูทำหน้าที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความคิดหรือจินตนาการและมองเห็นความรู้ด้วยตัวของเขาเองเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างการกระตุ้นของโสคราตีส ดังนี้  
              เมื่อ โสคราตีส ไปพบเจ้าของบ้านกำลังครุ่นคิดที่จะขยายหน้าต่างสี่เหลี่ยมจตุรัสให้มีพื้นที่ใหญ่เป็นสองเท่า ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี โสคราตีสจึงเป็นผู้ตั้งคำถามเพื่อให้เจ้าของบ้านพบคำตอบด้วยตัวตนของเขาเอง โดยโสคราตีสถามว่า “เมื่อลากเส้นทแยงมุมหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าของบ้านตอบว่า “เป็นรูปสามเหลี่ยม 2 รูป” โสคราตีสถามว่า “แล้วพื้นที่เป็นอย่างไร” เจ้าของบ้านตอบว่า “สามเหลี่ยมแต่ละรูปมีพื้นเป็นกึ่งหนึ่ง” ถามต่อไปว่า “แล้วลากเส้นทแยงมุมต่อไปอีกละ” คำตอบก็คือ “ได้สามเหลี่ยมขนาดเท่ากัน 4 รูป สามเหลี่ยม 4 รูปรวมกันคือหน้าต่างบานนั้น” โสคราตีสเสนอให้พลิกสามเหลี่ยมทั้ง 4 รูปไปด้านซ้าย-ขวา บน-ล่าง เจ้าของบ้านพบคำตอบด้วยตัวของเขาเองว่า สี่เหลี่ยมที่เกิดขึ้นใหม่ พื้นที่เป็น 2 เท่าของหน้าต่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้านเดิม (งานยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2548 : 115) 
            จึงเห็นได้ว่า การค้นพบความรู้ด้วยตัวตนของเขาเองดังกล่าว ย่อมสร้างแรงจูงใจและก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้อีกต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด  การสอนศิลปศึกษาก็อาจใช้วิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้ความคิดหรือจินตนาการ นำไปสู่การค้นพบความรู้ได้ด้วยตัวของผู้เรียนเองเช่นกัน ผู้สอนอาจใช้ศิลปะเป็นสื่อในการแสวงหาความรู้ใหม่ อาทิเช่น การสอนวิชาศิลปะในระดับเด็กอนุบาล ผู้สอนอาจตั้งโจทย์ให้นักเรียนวาดภาพอูฐตามจินตนาการของนักเรียน โดยอธิบายเพียงสั้นๆ ว่า เป็นสัตว์ 4 เท้า ที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบทะเลทราย  และให้เขียนภาพนั้นแล้วเสร็จภายในชั่วโมงเรียน แล้วเก็บภาพนั้นไว้ หลังจากนั้น จึงให้การบ้านนักเรียนกลับไปค้นคว้าและเรียนรู้ร่วมกับครอบครัวที่บ้านว่า อูฐที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และในสัปดาห์ถัดไปจึงให้นักเรียนกลับมาเขียนภาพอูฐนั้นอีกครั้ง เชื่อว่า จะได้ภาพที่ใกล้เคียงกับความจริงมากขึ้น  หลังจากนั้น ให้นักเรียนกลับไปคิดหาวิธีลดทอนรูปร่าง สัดส่วน การใช้สี หรืออาจจินตนาการให้มีรูปลักษณ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากภาพเดิม เป็นต้น  วิธีการสอนดังกล่าวจึงเป็นวิธีบูรณาการเข้าด้วยกัน ทั้งด้วยวิธีคิด จินตนาการ การเรียนรู้ร่วมกันของครอบครัว การพัฒนาทักษะ ความเป็นตรรกะ มีเหตุมีผล และมีความเป็นอิสระ ได้มากกว่าวิธีการสอนแบบลอกตามหรือแบบครูเป็นศูนย์กลางนั่นเป็นวิธีการอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิธีการสอนในวิชาต่างๆ ได้ เช่น อาจนำวิธีการเขียนภาพไปประกอบกับการเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฯลฯ เพื่อทำให้การอ่าน การเขียน โดยเฉพาะในระดับชั้นอนุบาลและประถมได้ดีขึ้น หรือในระดับชั้นสูงขึ้นมาอีก อาจให้นักเรียนสร้างสรรค์ผลงานในเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ หรือในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือศิลปะอาจเกิดขึ้นได้ในทุกหนทุกแห่ง สามารถใช้สื่อวัสดุได้หลากหลายประเภท ไม่ยึดติดวิธีการเก่าๆ ไม่จำกัดความคิด ไม่จำกัดสถานที่และเวลา และในอีกหลายๆ วิธีการ เป็นต้น จึงจะนับได้ว่า เป็นวิธีการสอนแบบบูรณาการ เป็นพหุศิลปศึกษา และเป็นการเน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ อย่างแท้จริง  บรรณานุกรมงานบัณฑิตศึกษา หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. (2545). พหุศิลปศึกษา Arts Education. กรุงเทพฯ : สันติศิริการพิมพ์.งานยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. (2548). อดีตเพื่ออนาคต 2548 วาระ 56 ปี มศว วันมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 28 เมษายน 2548.    กรุงเทพฯ : สันติศิริการพิมพ์.ธวัชชานนท์  สิปปภากุล, บรรณาธิการ. (2550). ศิลปวัฒนธรรม : มุมมองทางวิชาการ. กรุงเทพฯ : สันติศิริการพิมพ์. วิรุณ  ตั้งเจริญ. (2548). ทัศนศิลปศึกษา. กรุงเทพฯ : สันติศิริการพิมพ์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น