เรื่อง : วิสาข์ สอตระกูล
สามจอมยุทธ์แห่งวงการ “ดีไซเนอร์ ทอย” อันได้แก่ Luk Chee Chew (Fusionwave) ผู้สร้างสรรค์ Platform Toy นาม “Dweey”, Lisa Lee ศิลปินนักออกแบบแฟชั่นเจ้าของคาแรกเตอร์สาวเปรี้ยว “Liselle” และ Andy Heng ผู้ก่อตั้งบล็อกดังระดับโลก TOYS R EVIL ได้เดินทางมาร่วมงานฺ TCDCCONNECT Business Networking ตอน “ยุทธภพการ์ตูน-กราฟิกแอนิเมชั่น” เพื่อร่วมแชร์กลยุทธ์ในการพัฒนาและโปรโมท Designer Toys …ในแบบที่คุณไม่ต้องทุบหม้อข้าว
PART 1 : The Life of “Dweey”
Luk Chee Chew เริ่มต้นเล่าถึงการแตกไลน์ธุรกิจของสตูดิโอ Fusionwave (มาเลเซีย) จากการทำ Interactive design ให้ลูกค้าองค์กร มาสู่การทำ Character Design และการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ (IP Management) ของสินค้าตัวเอง เขามองว่าปัจจุบันนี้ธุรกิจลิขสิทธิ์กำลังเติบโตดีมาก และหากคุณมี Character ที่ดีตัวหนึ่ง คุณก็มีโอกาสที่จะต่อยอดมันไปสู่สิ่งอื่นอีกมากมายในเชิงพาณิชย์
Luk Chee Chew เริ่มต้นเล่าถึงการแตกไลน์ธุรกิจของสตูดิโอ Fusionwave (มาเลเซีย) จากการทำ Interactive design ให้ลูกค้าองค์กร มาสู่การทำ Character Design และการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ (IP Management) ของสินค้าตัวเอง เขามองว่าปัจจุบันนี้ธุรกิจลิขสิทธิ์กำลังเติบโตดีมาก และหากคุณมี Character ที่ดีตัวหนึ่ง คุณก็มีโอกาสที่จะต่อยอดมันไปสู่สิ่งอื่นอีกมากมายในเชิงพาณิชย์
คาแรกเตอร์ “Dweey” ของเขา เริ่มต้นจากการเป็น Platform Toy ซึ่งมีฐานลูกค้าแค่เฉพาะกลุ่ม ในช่วงแรกนั้น วัฒนธรรมการสะสมของเล่น (Collective toys) ในมาเลเซียยังไม่เบ่งบานเท่าทุกวันนี้ ผู้บริโภคส่วนมากยังมีคำถามว่า “จะซื้อของเล่นไปทำไมเยอะแยะ?” Luk จึงตั้งใจที่จะทำให้ Dweey มีคุณค่าแตกต่างออกไป เขาใช้กลยุทธ์การสร้างความหมายใน 5 ระดับ คือ Personalize – Collect – Play – Use – Leverage และเรียกผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่นี้ว่า “Creative Platform” (หรือ Platform toy)
ในปี 2005 Dweey เริ่มเป็นที่รู้จักผ่านกิจกรรมการโปรโมทง่ายๆ ทางอินเตอร์เน็ต Luk จัดแคมเปญ “Customize your Dweey” ให้ผู้คนเข้าร่วมละเลงจินตนาการบนตัว Platform toy ตามโจทย์ที่เขาให้และส่งผลงานกลับมาร่วมแสดงเป็นนิทรรศการออนไลน์ สมัยนั้น Luk ใช้เพียงแค่อีเมลและเว็บไซต์เป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น Social network อย่าง Facebook ยังไม่จุติขึ้นอย่างเป็นทางการ [ กลยุทธ์แรกนี้ถือเป็นการ educate ตลาดบริโภคถึง “ความหมาย” และ “ความเป็นไปได้” ของตัวสินค้า โดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ]
หลังจากนั้นก็มีแคมเปญ “Dweey Test Drive” ที่ Luk ขอให้กราฟิกดีไซเนอร์จากทั่วโลกส่งผลงานออกแบบ 2D อะไรก็ได้เข้ามาร่วมสนุก และเขาจะนำงานเหล่านั้นไป wrap บนตัว Dweey ให้กลายเป็นชิ้นงาน 3D อีกที [ กลยุทธ์ที่สองนี้ส่งผลให้สตูดิโอสามารถสร้าง connection ใหม่ๆ กับนักออกแบบจากทั่วโลก ]
ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว Luk จับมือกับค่ายนักออกแบบของเล่นสัญชาติไทย Mafia Factory และจัดงาน Dweey x CE World Biggest Custom Toy Show ขึ้น โดยเขาได้เชิญดีไซเนอร์จากทั้งสองประเทศรวม 100 คนให้มาจับคู่กันออกแบบ Dweey และ CE (Platform toy 2 ตัว) จนเกิดเป็นคอลเล็กชั่นผลงานใหม่จำนวน 200 ชิ้น [ ต่างจาก 2 กลยุทธ์ข้างต้น กลยุทธ์นี้เกิดขึ้นในโลกจริงนอกอินเตอร์เน็ต ถือเป็นกิจกรรมแรกที่สื่อสารกับกลุ่มตลาดที่กว้างขึ้น ]
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Luk จัดงาน Dweey Transformation ขึ้นอีกมากมาย ซึ่งบางงานก็ประสบความสำเร็จ บางงานก็ล้มเหลว แต่ Luk ถือว่าทุกความผิดพลาดคือการเรียนรู้ เพราะท้ายที่สุดเขาก็ได้พบว่า
1. โฟกัสคือหัวใจ อย่าทำอะไรสะเปะสะปะแม้มันจะสนุกก็ตาม
2. กลยุทธ์ระยะยาวต้องค่อยเป็นค่อยไป เรื่อง Product positioning สำคัญมาก
3. อย่ามองข้ามเรื่องความเหมาะสมของเวลา อะไรก็ตามที่ตลาดยังไม่พร้อมก็อย่าเร่งทำ
1. โฟกัสคือหัวใจ อย่าทำอะไรสะเปะสะปะแม้มันจะสนุกก็ตาม
2. กลยุทธ์ระยะยาวต้องค่อยเป็นค่อยไป เรื่อง Product positioning สำคัญมาก
3. อย่ามองข้ามเรื่องความเหมาะสมของเวลา อะไรก็ตามที่ตลาดยังไม่พร้อมก็อย่าเร่งทำ
ถึงวันนี้ (ราว 8 ปีจากวันแรกที่เปิดตัวในฐานะ platform toy) “Dweey” กำลังถูกต่อยอดไปสู่ positioning อื่นๆ มากมาย อาทิเช่น Art materials – อุปกรณ์ศิลปะ, Collective items – ของสะสม, Gift set – ของขวัญ/ของชำร่วย, Marketing tools/Promotion materials – เครื่องมือการตลาด และ Home Decoration – ของแต่งบ้าน


PART 2 : Lisa & LiselleLisa Lee กล่าวว่า เธอเองเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ชื่นชอบเรื่อง Illustraiton เป็นพิเศษ เธอตัดสินใจสร้างคาแรกเตอร์ “Liselle” ขึ้นเองเพื่อให้มีบุคลิกในแบบที่เธอต้องการ (Liselle = สาวน้อยผู้หลงใหลในแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ร่วมสมัย) โดยหลังจากที่เธอได้พบกับ Luk Chee Chew ทั้งสองก็คิดตรงกันว่า คาแรกเตอร์ Liselle นี้น่าจะมีโอกาสเติบโตได้อีกในเชิงพาณิชย์ “มันน่าจะไปได้ไกลกว่าบนเสื้อผ้าหรือตามหน้านิตยสารเท่านั้น”


Luk ช่วย Lisa พัฒนา Business model ขึ้นใหม่เพื่อต่อยอดคาแรกเตอร์ของเธอ เขาเสนอให้ Lisa แตกไลน์ธุรกิจออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. Liselle Art : การเติบโตของ Liselle ในรูปแบบของศิลปะภาพประกอบ (Illustration work) ซึ่ง Lisa สามารถจะขาย license ให้กับลูกค้าที่ต้องการนำภาพประกอบของเธอไปใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น การนำผลงานเข้าร่วมการประมูล, จัดพิมพ์เป็นโปสการ์ด ฯลฯ
2. Liselle Creation : เป็นการใช้งานคาแรกเตอร์ร่วมกับการพัฒนาสินค้าหรือบริการอื่น เช่น การ collaboration กับดีไซเนอร์ต่างสาขา หรือการนำคาแรกเตอร์ไปใช้บนผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ
3. Liselle Style : เป็นการใช้งานคาแรกเตอร์ในระดับ “Content” กล่าวคือลูกค้าที่สนใจสามารถนำภาพลักษณ์ของ Liselle ไปใช้เป็นเครื่องมือในแคมเปญส่งเสริมการตลาดต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น การเป็น Brand ambassador ให้กับแคมเปญการท่องเที่ยวมาเก๊า, การเป็น Presenter แนะนำสินค้าให้กับไลฟ์สไตล์แบรนด์ต่างๆ
1. Liselle Art : การเติบโตของ Liselle ในรูปแบบของศิลปะภาพประกอบ (Illustration work) ซึ่ง Lisa สามารถจะขาย license ให้กับลูกค้าที่ต้องการนำภาพประกอบของเธอไปใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น การนำผลงานเข้าร่วมการประมูล, จัดพิมพ์เป็นโปสการ์ด ฯลฯ
2. Liselle Creation : เป็นการใช้งานคาแรกเตอร์ร่วมกับการพัฒนาสินค้าหรือบริการอื่น เช่น การ collaboration กับดีไซเนอร์ต่างสาขา หรือการนำคาแรกเตอร์ไปใช้บนผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ
3. Liselle Style : เป็นการใช้งานคาแรกเตอร์ในระดับ “Content” กล่าวคือลูกค้าที่สนใจสามารถนำภาพลักษณ์ของ Liselle ไปใช้เป็นเครื่องมือในแคมเปญส่งเสริมการตลาดต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น การเป็น Brand ambassador ให้กับแคมเปญการท่องเที่ยวมาเก๊า, การเป็น Presenter แนะนำสินค้าให้กับไลฟ์สไตล์แบรนด์ต่างๆ
อย่างไรก็ดี ในการประยุกต์ใช้คาแรกเตอร์ในหลายระดับนี้ จำเป็นจะต้องมีการพัฒนา Style book หรือ Style guide ไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้าง “ความเข้าใจเบื้องต้นที่ตรงกัน” ระหว่างเจ้าของคาแรกเตอร์กับเจ้าของแบรนด์ต่างๆ และเพื่อมิให้เกิดการนำคาแรกเตอร์ไปใช้ใน context ที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของคาแรกเตอร์ในระยะยาวได้
PART 3 : What makes “TOYS R EVIL” the No.1 blog Andy Heng เจ้าของบล็อกดังระดับโลก “TOYS R EVIL” คืออีกหนึ่งกูรูคนสำคัญของวงการ Pop culture และ Designer toys
PART 3 : What makes “TOYS R EVIL” the No.1 blog Andy Heng เจ้าของบล็อกดังระดับโลก “TOYS R EVIL” คืออีกหนึ่งกูรูคนสำคัญของวงการ Pop culture และ Designer toys
Andy เชื่อว่า เมื่อเขาพูดถึงคำว่า “Toys” ในสมองของคนทั่วไปมักจะเชื่อมโยงไปถึงของเล่นที่เป็น “License toys” ซึ่งได้รับการต่อยอดมาจากภาพยนตร์ หรือ หนังการ์ตูน อาทิเช่น Star wars, Transformers และอื่นๆ ของเล่นประเภทนี้เรียกว่า “Mass toys” ซึ่งมันพร้อมที่จะขายตัวเองได้ตั้งแต่ยังไม่วางจำหน่ายด้วยซ้ำ


ในทางตรงกันข้าม ของเล่นที่ TOYS R EVIL ให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือกลุ่มที่เรียกว่า “Art toys” ของเล่นกลุ่มนี้ไม่ได้มีปูมหลังมาจากการ์ตูนหรือภาพยนตร์ใดๆ พวกมันคือ Designer toys ของแท้ ที่เกิดจากฝีมือการออกแบบของ Individual designer และมันถูกผลิตขึ้นเพื่อ “คนเฉพาะกลุ่ม” ที่หลงใหลในงานดีไซน์จริงๆ เท่านั้น
เนื้อหาในบล็อกของ Andy จะครอบคลุมเรื่องราว pop culture ที่เกิดขึ้นในเวทีนานาชาติทั้งหมด เขาจะไม่แบ่งแยกหรือส่งเสริมชนชาติใดเป็นพิเศษทั้งนั้น และด้วยความเป็นกลางที่ชัดเจนนี้ มันทำให้เขากลายเป็น blogger สุดฮอต ที่ดีไซเนอร์จากทั่วทุกมุมโลกยินดีป้อนข้อมูลที่ “สดใหม่ที่สุด” ให้เป็นคนแรก ทุกวันนี้ Andy เป็น Full-time blogger ที่มี content ใหม่วิ่งเข้ามาหาทุกวัน เขาแทบไม่ต้องออกไปหา content เองด้วยซ้ำไป
Andy มองสิ่งที่เขาทำว่าเป็น “สะพานเชื่อม” (Bridging Platform) ระหว่าง “ผู้ผลิต” กับ “ผู้บริโภค” TOYS R EVIL ไม่ได้ขายสินค้าอะไรของตัวเอง มันทำหน้าที่เป็นเหมือน Showcase และกระบอกเสียงให้กับเหล่าดีไซเนอร์ (ที่ Andy มองว่า) ฝีมือดีแต่ยังไม่มีช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค
ปัจจุบันนี้ TOYS R EVIL มีกลุ่มผู้อ่านแฟนคลับที่แข็งแรงมาก ข่าวสารกิจกรรมหรือการรีวิวสินค้าใดๆ ในบล็อกนี้จะถูกมองว่าเป็น highlight ในกระแสวัฒนธรรมป๊อปทันที และในขณะเดียวกัน ตัว Andy Heng เองก็ต้องยอมรับกับสถานภาพ “ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด” คนหนึ่งของวัฒนธรรม Pop Culture ไปด้วย
ในเวทีครั้งนี้ Andy ได้แนะนำกลยุทธ์การโปรโมทผลงานออนไลน์ไว้หลายข้อด้วยกัน อันได้แก่
1. แม้ปัจจุบันจะมี social network และ application มากมายที่ช่วยให้คุณเชื่อมโยงถึงคนหมู่มากได้ แต่หัวใจสำคัญของการโปรโมทธุรกิจในโลกดิจิตอล ก็คือ คุณต้อง navigate และใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็น (ใช้แบบพอเหมาะพอดี) และ อย่าได้มองข้ามพลังของ “เว็บเฉพาะทาง” ในสายธุรกิจของคุณเด็ดขาด (ในกรณี Art&Designer toys ก็คือเว็บอย่าง TOYS R EVIL)
1. แม้ปัจจุบันจะมี social network และ application มากมายที่ช่วยให้คุณเชื่อมโยงถึงคนหมู่มากได้ แต่หัวใจสำคัญของการโปรโมทธุรกิจในโลกดิจิตอล ก็คือ คุณต้อง navigate และใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เป็น (ใช้แบบพอเหมาะพอดี) และ อย่าได้มองข้ามพลังของ “เว็บเฉพาะทาง” ในสายธุรกิจของคุณเด็ดขาด (ในกรณี Art&Designer toys ก็คือเว็บอย่าง TOYS R EVIL)
2. ภาพถ่ายของตัวสินค้า คือ ใบเบิกทางที่สำคัญที่สุดในการเข้าหาผู้บริโภค จงถ่ายภาพงานออกแบบของคุณให้ดู “ชัดเจน รอบด้าน สะอาด เจาะลึก” สิ่งเหล่านี้คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน (หรือที่ไหนก็ได้) ไม่จำเป็นต้องไปเช่าสตูดิโอถ่ายภาพราคาแพง ให้ใช้ความสร้างสรรค์ของคุณกับมุมกล้อง แบคกราวด์ คำอธิบาย เพื่อนำเสนอสิ่งที่คุณทำให้ดูคุณภาพดีและเข้าใจง่ายที่สุด
3. Product Description ต้องครบถ้วน เช่น ชื่อสินค้า ชื่อผู้ผลิต สถานที่จำหน่าย ราคา ขนาด สีที่มีให้เลือก ฯลฯ เพื่อว่าคนที่สนใจสินค้าของคุณจะสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที
4. หากคุณคิดจะส่งผลงานให้ International Websites ช่วยรีวิว จงอย่าคิดว่าทักษะภาษาอังกฤษของคุณเป็นอุปสรรคเด็ดขาด เพราะ ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการรีวิวนั้น ไม่ได้ต้องการให้คุณเก่งภาษาอังกฤษอะไรเลย
5. ส่งผลงานหรือข่าวสารของคุณไปให้ถูกช่องทาง เช่น ถ้าทำเสื้อยืดก็ต้องส่งผลงานให้เว็บเสื้อยืด ไม่ใช่ส่งมาเว็บของเล่น ยกเว้นแต่ว่าเสื้อยืดนั้นจะมีความเกี่ยวโยงกับของเล่นด้วย (เช่น เป็นผลงาน collaboration ที่คุณทำกับ Toy Artist หรือเป็นของ premium ชิ้นพิเศษจากผู้ผลิตของเล่น)
6. เมื่อวางจำหน่าย จงหาวิธีให้สินค้าของคุณ “โดดเด้ง” ออกมาจากชั้นสินค้าให้เร็วที่สุด หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ผู้คนจดจำ (recognize) สินค้าใหม่ได้เร็ว ก็คือ การเชื่อมโยงกับสิ่งของหรือเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักอย่างดีมาก่อน เช่น ถ้าคุณจะออก Platform toy ตัวใหม่ คุณก็อาจจะหยิบยืมลวดลายกราฟิกที่คนทั่วไปคุ้นเคย เช่น Darth Vader มาทำเป็น VDO ขำขันเพื่อสร้างกระแสในอินเตอร์เน็ตก่อน (พอคุณวางขายจริง ผู้คนจะจำสินค้าได้ทันทีจาก VDO นั้น)
7. “เยอะไว้ก่อน พ่อสอนไว้” จำนวนของ “ภาพ” ที่คุณให้ในการโปรโมทสินค้ามีผลต่อการจดจำ และการจดจำมีผลต่อการตัดสินใจซื้อเสมอ


“Designer toys เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ มันเกี่ยวพันอย่างสูงกับอารมณ์ความรู้สึกและคุณค่าที่เป็นนามธรรม วิถีของธุรกิจนี้ก็คล้ายๆ กับธุรกิจภาพยนตร์หรือจิวเวลรี่ มันไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะใช้วัสดุอะไร ขอแค่ผู้บริโภครู้สึกดีกับแบรนด์ เขาก็พร้อมที่จะก้าวเดินและสนับสนุนคุณไปเรื่อยๆ ฉะนั้น กลยุทธ์ข้อสุดท้ายที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ ลูกค้าเก่า สำคัญที่สุด” Andy Heng ปิดท้ายการเสวนาครั้งนี้ไว้แบบสั้นๆ แต่ได้ใจความ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น